สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย |
![]() |
Wednesday, 30 August 2017 09:38 | |||
Snapshot
สหรัฐอเมริกา ผลสำรวจของเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์รายงานว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศสหรัฐในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 5.8% จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 5.7% ในเดือนพฤษภาคม ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่เท่ากับเดือนพฤษภาคมที่ 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นใน 9 เมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่ในภาคตะวันตกของประเทศ นำมาเป็นอันดับหนึ่งโดยซีแอตเทิลที่ราคาบ้านพุ่งขึ้น 13.4% ตามมาด้วยพอร์ทแลนด์ 8.2% และดัลลัสเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งนี้ ราคาบ้านที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ประกอบกับอุปทานบ้านที่อยู่ในระดับต่ำ ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 122.9 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 120.3 หลังจากอยู่ที่ระดับ 120.0 ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคสหรัฐมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ โดยดัชนีดังกล่าวเป็นการสำรวจมุมมองและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสภาวะธุรกิจ สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน ทั้งนี้ ลินน์ ฟรังโก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยผู้บริโภคของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่กระตุ้นความเชื่อมั่นคือการที่ผู้บริโภคประเมินสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันในทิศทางที่ดี โดยดัชนีสถานการณ์ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 151.2 จากระดับ 145.4 ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ขยับขึ้นสู่ระดับ 104.4 จากระดับ 103.3 ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ผลสำรวจเผยด้วยว่าผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีต่อตลาดแรงงาน โดยผู้บริโภคที่มองว่ามีตำแหน่งงานอยู่มากมายในเดือนส.ค.นั้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 35.4% จาก 33.2% ในเดือนก่อนหน้า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อ่างเก็บน้ำแอดดิคส์ ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหลักของเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ เริ่มมีระดับน้ำล้นขอบอ่างแล้ว ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่า น้ำในอ่างเก็บน้ำจะล้นทะลักเข้าท่วมชุมชนละแวกใกล้เคียง หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย พยากรณ์อากาศระบุว่า เมืองฮูสตัน ซึ่งถือเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ จะยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง โดยพื้นที่ในเมืองและโดยรอบอาจมีปริมาณน้ำฝนสูง 12 นิ้ว
ยุโรป: ฝรั่งเศส สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศสเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2560 ขยายตัว 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเท่ากับตัวเลขประมาณการเบื้องต้น ทั้งนี้ นับเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่เศรษฐกิจฝรั่งเศสขยายตัวในอัตรา 0.5% โดยปัจจัยที่ช่วยหนุน GDP ไตรมาส 2 ของฝรั่งเศสให้ยังคงขยายตัวได้ดีนั้น มาจากการส่งออกที่ขยายตัวขึ้น 2.5% ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวขึ้น 0.3% จากระดับ 0.1% ในไตรมาสแรก สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (Insee) รายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคของฝรั่งเศสประจำเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 0.4% และ 1% ตามลำดับ ทั้งนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคฝรั่งเศสกลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังจากหดตัว เนื่องจากภาคครัวเรือนใช้จ่ายไปกับอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น
เยอรมนี สถาบันวิจัย GfK รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีในเดือนกันยายนปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 10.9 จากระดับ 10.8 ในเดือนสิงหาคม โดยเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะทรงอยู่ที่ระดับ 10.8 ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและสถานะการเงินในเดือนข้างหน้า
เอเชีย: ญี่ปุ่น นายทาโร อาโสะ รมว.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่า เขาจะเดินทางเยือนสหรัฐตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.เพื่อจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการกับนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐก่อนการประชุมเศรษฐกิจระดับทวิภาคีรอบสองที่กำหนดจัดขึ้นในปีนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อต้านการทุ่มตลาดชั่วคราวต่อพอลิเมอร์ เรซินชนิดหนึ่งที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติก โดยจะเก็บภาษีนี้ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ กระทรวงการค้าและกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นได้เปิดการสอบสวนในปีที่แล้วต่อการนำเข้าพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (PET) ที่มีอันดับการพอลิเมอไรเซชันอยู่ในขั้นสูงจากจีน หลังจากบริษัท 4 แห่งยื่นเรื่องเพื่อขอให้มีการเก็บภาษีศุลกากร แหล่งข่าวกล่าวว่า ญี่ปุ่นยังไม่ได้กำหนดภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดอย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่คาดกันว่าอัตราภาษีจะอยู่ในช่วง 39.8-53.0% ญี่ปุ่นนำเข้า PET จากจีน 364,258 ตันในช่วงหนึ่งปีสิ้นสุดเดือนมี.ค. 2016 โดยพุ่งขึ้น 22% จากปีก่อนหน้านั้น และครองสัดส่วน 55.2% ของการนำเข้า PET ทั้งหมดในญี่ปุ่น ภาษีศุลกากรใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 2 ก.ย 2017 ถึง 1 ม.ค. 2018 แหล่งข่าวกล่าวว่า ถ้าหากรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อต้านการทุ่มตลาด โดยยึดตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) ญี่ปุ่นก็จะอาจจะต่ออายุภาษีศุลกากรนี้ออกไปอีก 5 ปี โดยอาจจะมีการปรับทบทวนอัตราภาษีใหม่ด้วย ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นลดลงอย่างพลิกความคาดหมายในอัตรา 0.2% ต่อปีในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้น 2.3% ต่อปีในเดือนมิ.ย. โดยตัวเลขนี้ทำให้นักลงทุนตั้งข้อสงสัยว่า อุปสงค์ภายในประเทศจะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ โดยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นสูงขึ้น อัตราการว่างงานในญี่ปุ่นทรงตัวที่ 2.8% ในเดือนก.ค. และอัตราตำแหน่งงานว่างต่อผู้สมัครงานอยู่ที่ 1.52 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1974 โดยอัตรา 1.52 นี้หมายความว่า มีตำแหน่งงานว่าง 152 ตำแหน่งต่อผู้สมัครงานทุก 100 คน
เกาหลีใต้ ผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า ธนาคารกลางเกาหลี (BOK) จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ BOK จะจับตาผลกระทบของมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบเชิงรุกมากที่สุดของรัฐบาลก่อนที่จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศในช่วงต้นเดือนนี้ว่าจะขึ้นภาษีกำไรในการลงทุน (capital gains) จากผู้ที่มีบ้านหลายหลัง และจะใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อจำนองใหม่เพื่อควบคุมนักเก็งกำไร ซึ่งนั่นเป็นมาตรการชุดที่ 3 ในรอบ 10 เดือน และเป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดเป็นประวัติการณ์เพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดกับหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 19 คนในผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า BOK จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2016 นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BOK จะคงอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่คาดว่า BOK อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนจะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 429 ล้านล้านวอน (3.8305 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีหน้า ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายเพิ่มมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมด้วยการหาเงินทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น, การสร้างตำแหน่งงาน และกระตุ้นการอุปโภคบริโภคในประเทศ งบประมาณรายจ่ายทั้งหมดสำหรับปี 2018 จะเพิ่มขึ้น 4.6% จากที่กำหนดเป้าที่ 410.1 ล้านล้านวอนในปีนี้ ซึ่งรวมงบประมาณเสริม 11 ล้านล้านวอนที่ได้รับอนุมัติในเดือนก.ค.
ไทย นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้เห็นชอบโครงการประชารัฐสวัสดิการ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ในวงเงิน 4.19 หมื่นล้านบาท โครงการดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.60 โดยวงเงินช่วยเหลือสูงสุดจะอยู่ที่ 1,815 บาทต่อคนต่อเดือน ครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยมีผู้มีสิทธิ 11.67 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ก่อน กระทรวงการคลังเผยว่า การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือในรอบแรก ส่วนความช่วยเหลือระยะที่สอง จะเป็นการเติมเงินให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนที่ 3 หมื่นบาท/ปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นปีหน้า นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวในการแถลงข่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย การกระตุ้นอุปสงค์ ด้วยการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิต และบริการภายในประเทศ นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใช้หุ่นยนต์ 1.2 หมื่นล้านบาทในปีแรก ผ่านการลดหย่อนภาษีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงการคลัง ตลอดจนการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้เอสเอ็มอี โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน จะมีการสนับสนุนด้านอุปทาน ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนผู้ทำหน้าที่ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติ(System Integrator:SI) จาก 200 ราย เป็น 1,400 ราย ภายในเวลา 5 ปี โดยบีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์สูงสุดกับ SI ขณะที่กระทรวงการคลังจะยกเว้นอากรนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ที่นำมาผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาบุคลากรและยกระดับเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ด้วยการจัดตั้ง Center of Robotic Excellence(CoRE) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือของ 8 หน่วยงานนำร่อง โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบอย่างน้อย 150 ผลิตภัณฑ์ ภายใน 5 ปี ถ่ายทอดเทคโนโลยีหุ่นยนต์ชั้นสูงให้แก่ผู้ประกอบการ 200 ราย และฝึกอบรมบุคลากรไม่น้อยกว่า 25,000 คน
Money Market - ดอลลาร์/บาท วันอังคาร (29 สค.) เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่เช้าวันนี้ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินเอเซียส่วนใหญ่สอดคล้องกับการที่ดัชนีตลาดหุ้นเอเซียส่วนใหญ่ลดลงเนื่องจากนักลงทุนลดการถือสินทรัพย์เสี่ยงหลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธที่ลอยข้ามภาคเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุครั้งล่าสุดของรัฐบาลเกาหลีเหนือ และทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาคทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ดีดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาอ่อนค่าในช่วงตลาดสหรัฐฯจากปัจจัยปัญหาการเมืองสหรัฐฯที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - ดอลลาร์/เยน วันอังคาร (29 สค.) เงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ โดยวันนี้เงินเยนได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนลดการถือสินทรัพย์เสี่ยงและถือเยนซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น แม้ว่าญี่ปุ่นเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกันเนื่องจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธลอยข้ามภาคเหนือของญี่ปุ่น - ยูโร/ดอลลาร์ วันอังคาร (29 สค.) เงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้หลังจากที่ยูโรแข็งค่าเมื่อวานนี้ โดยวันนี้ปัจจัยเรื่องเกาหลีเหนือส่งผลบวกต่อสกุลเงินสำคัญเช่นเยนและดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดีปัจจัยจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางยุโรปจะลดมาตรการ QE ก็ส่งผลหนุนค่าเงินยูโรเช่นกันในช่วงนี้ โดยยูโรกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงตลาดสหรัฐฯตามปัจจัยเรื่องการคาดการณ์เกี่ยวกับการลดมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป ขณะที่ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯต่อเนื่องในช่วงนี้
Capital Market - ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันอังคาร (29 สค.) ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นในวันอังคาร โดยฟื้นตัวขึ้นจากการลดลงอย่างหนักในช่วงเช้าจากความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากถึง 0.66% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตือนว่าจะพิจารณาทุกทางเลือกเพื่อตอบโต้หลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพุ่งข้ามเกาะฮ็อกไกโดของญี่ปุ่น ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 0.26% สู่ระดับ 21,865.37, ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 0.08% สู่ระดับ 2,446.30 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 0.30% สู่ระดับ 6,301.89 - ตลาดหุ้นเอเซีย วันอังคาร (29 สค.)ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ลดลงในวันนี้หลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธที่ลอยข้ามภาคเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุครั้งล่าสุดของรัฐบาลเกาหลีเหนือ และทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาคทวีความรุนแรงมากขึ้น และส่งผลให้นักลงทุนลดการถือสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนีนิกเกอิวันนี้ปิดตลาดลดลง 0.45% โดยนอกจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการที่ญี่ปุ่นอยู่ในพื้นที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากขีปนาวุธเกาหลีเหนือแล้ว การที่เงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯจากปัจจัยเรื่องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนและถือเงินเยนมากขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมองว่าเงินเยนเป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำก็ส่งผลลบต่อการส่งออกของญี่ปุ่น สำหรับดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.09% - ตลาดหุ้นไทย วันอังคาร ( 29 สค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้สูงขึ้นสวนทางดัชนีตลาดหุ้นเอเซียส่วนใหญ่ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่ในส่วนของเงินบาทเช้าวันนี้แม้จะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็อ่อนค่าไม่มากเมื่อเทียบกับการอ่อนค่าของเงินเอเซียส่วนใหญ่เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินเอเซียส่วนใหญ่และอาจส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ปิดตลาดวันนี้ SET INDEX เพิ่มขึ้น 28.35 จุด
โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 30 ส.ค. 2560
|
Comments